ตอบ 4.
สาเหตุการเกิด
คลื่นสึนามิเกิดขึ้นจากการกระทบกระเทือนที่ทำให้น้ำปริมาณมากเกิดการ เคลื่อนตัว เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม หรืออุกกาบาตพุ่งชน[ต้องการอ้างอิง]เมื่อแผ่นดินใต้ทะเลเกิดการเปลี่ยนรูปร่างอย่างกระทันหัน จะทำให้น้ำทะเลเกิดเคลื่อนตัวเพื่อปรับระดับให้เข้าสู่จุดสมดุลและจะก่อให้ เกิดคลื่นสึนามิ การเปลี่ยนรูปร่างของพื้นทะเลมักเกิดขึ้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวเนื่องจากการ ขยับตัวของเปลือก โลก ซึ่งจะเกิดบริเวณที่ขอบของเปลือกโลกหลายแผ่นเชื่อมต่อกันที่เรียกว่า รอยเลื่อน (fault) เช่น บริเวณขอบของมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากแผ่นดินไหวแล้ว ดินถล่มใต้น้ำที่มักเกิดร่วมกับแผ่นดินไหวสามารถทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ เช่นกัน[ต้องการอ้างอิง]
นอกจากการกระทบกระเทือนที่เกิดใต้น้ำแล้ว การที่พื้นดินขนาดใหญ่ถล่มลงทะเล หรือการตกกระทบพื้นน้ำของเทหวัตถุ ก็สามารถทำให้เกิดคลื่นได้ คลื่นสึนามิที่เกิดในรูปแบบนี้จะลดขนาดลงอย่างรวดเร็วและไม่มีผลกระทบต่อชาย ฝั่งที่อยู่ห่างไกลมากนัก อย่างไรก็ตาม ถ้าแผ่นดินมีขนาดใหญ่มากพอ อาจทำให้เกิด เมกะสึนามิ ซึ่งอาจมีความสูงร่วมร้อยเมตรได้[ต้องการอ้างอิง]
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/
ตอบ 2.
การเกิดแผ่นดิน ไหว
บริเวณผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิอยู่ตลอดเวลาและจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าแก่นโลกมาก ความร้อนจากแก่นโลก
ทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ได้และทำให้เปลือกโลกส่วนล่างขยายตัวได้ มากกว่าผิวด้านบน จากสาเหตุดังกล่าวทำให้เปลือก
โลกมีการขยายตัวและหดตัวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมีผลกระทบต่อรอยแตกในชั้นหินและรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก ทำให้รอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก บางแห่งอาจแยกออกห่าง บางแห่งเคลื่อนที่เข้าชนกัน การชนกันหรือการแยกออกจากกัน
ของเปลือกโลกอาจทำให้เปลือกโลกบางส่วนในบริเวณนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยฉับ พลัน
แผ่นดินไหวเกิดจากการเปลี่ยนแลงของเปลือกโลกโดยฉับพลัน เช่นเปลืกโลกเกิดการทรุดตัวหนือยุบตัวลงทำให้บริเวณ
นั้นเกิดการกระทบกระแทกหรือฉีกขาดเคลื่อนที่ตามแนวระดับ และส่งอิทธิพลออกไปยังบริเวณรอบ ๆ ในรูปของคลื่น
แผ่นดินไหวมักเกิดที่บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก เนื่องจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา บริเวณ
รอยต่อจึงมีโอกาสเกิดการกระทบกระแทกได้ง่าย ถ้าการกระทบกระแทกเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้เปลือกโลกบริเวณนั้น
ฉีกขาดตามแนวระดับหรือฉีกตัวอย่างรวดเร็ว ก็จะก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ทำความเสียหายต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนเปลือกโลก
การเกิด ภูเขาไฟระเบิด
ภูเขาไฟระเบิด เกิดจาดหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกมีอุณหภูมิ และความดันสูงมากถูกแรงดันอัดให้แทรกรอยแตกขึ้นมาสู่
ผิวโลก โดยมีแรงปะทุหรือแรงระเบิดขึ้น
หินหนืดที่พุ่งขึ้นมาจาการระเบิดของภูเขาไฟจะไหลลงสู่บริเวณที่อยู่ระดับต่ำ กว่าและสร้างความเสียหายให้แก่มนุษย์
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก
นอกจากหินหนืดแล้วยังมีสิ่งอื่นที่พุ่งออกจากปล่องภูเขาไฟ ได้แก่ ไอน้ำ ฝุ่นละออง เศษหิน และก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาบอนมอนอกไซด์ ก๊าซไนโตรเจน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นต้น
ภูเขาไฟมักเกิดขึ้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก เช่น บริเวณของทวีปที่มีการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกใต้พื้น
มหาสมุทรลงไปสู่ใต้เปลือกโลกที่เป็นส่วนของทวีป เพราะแผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปจะถูกหลอมกลายเป็นหินหนืดและแทรกตัว
ขึ้นมาได้ง่ายกว่าบริเวณอื่นๆ
การเกิดภูเขาไฟในบริเวณที่ห่างจากรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกก็มีโอกาสได้ เช่นกัน แต่โอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดย
อาจจะเกิดจากหินหนืดดันขึ้นตามรอยแตกในชั้นหินซึ่งรอยแตกนี้อยู่ห่างจากแนว รอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก
ที่มา http://202.143.141.162/web_offline/srp/011961712.htm
ตอบ 4. การวิเคราะห์ปริมาณของคาร์บอน-14 ในซากดึกดำบรรพ์
ตอบ 1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประวัติการ ค้นพบ
การค้นหาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ในประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน โดยในปี พ.ศ. 2519 กรม ทรัพยากรธรณีได้ค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ในเขตอำเภอ ภูเวียง จังหวัด ขอนแก่น ซึ่งผลการวิจัยขณะนั้นทราบเพียงว่าเป็นไดโนเสาร์ซอ โรพอด มีความยาวประมาณ 15 เมตร นับว่าเป็นรายงานการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ครั้งแรกในประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 และ พ.ศ. 2525 ได้มีการสำรวจที่บริเวณภูเวียงอีกทำให้พบกระดูกส่วนต่างๆ ของไดโนเสาร์และสัตว์อื่นๆ เป็นจำนวนมากอยู่ในชั้นหิน จึงนับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์อย่างจริงจัง
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/
ตอบ 3.แรงโน้มถ่วงแรงโน้มถ่วง (หรือแรงดึงดูดระหว่างมวล) คือ แรงที่ดึงดูดวัตถุที่มีมวลหรือพลังงาน เข้าด้วยกัน นิวตันเป็นคนแรกที่อธิบายได้ว่า ความแรงของแรงดึงดูดระหว่างมวลนั้นขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างมวลทั้งสองยก กำลังสอง ยิ่งห่างกันมากแรงดึงดูดระหว่างมวลก็จะน้อยลง หรือที่รู้จักกันดีคือ "กฎกำลังสองผกผัน" หรือ กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
แรงดังกล่าวเป็นแรงที่กำหนด การโคจรของดวงดาวต่างๆ เป็นแรงที่กักเก็บบรรยากาศและน้ำ รวมทั้งสิ่งจำเป็นสำหรับการเกิดชีวิตไว้ไม่ให้หลุดออกนอกโลก ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้บนโลก นับเป็นแรงพื้นฐาน 1 ใน 4 ชนิดที่มีอยู่ในธรรมชาติ นอกเหนือจาก แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน และแรงนิวเคลียรอย่างเข้ม แต่ในแรงทั้ง4นั้น แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่เรามีความเข้าใจธรรมชาติของมันน้อยที่สุด หนึ่งในปัญหาที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดแรงโน้มถ่วงจึงมีความแรงน้อยกว่าแรงทั้งอื่นๆมาก
นักฟิสิกส์หลายๆคนเชื่อว่าเหตุที่แรงโน้มถ่วงมีความแรงน้อยกว่าแรงอื่นๆ นั้นอาจเป็นเพราะว่า เอกภพของเราไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ 4 มิติ คือเวลา และ ปริมาตร (ความกว้าง ความยาว และ ความสูง) แต่ยังมีมิติอื่นๆ ซ่อนอยู่อีก
ที่มา http://www.vcharkarn.com/vcafe/94588
ตอบ 4.
สีและอุณหภูมิของดาวฤกษ์
ถ้าเราดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าดาวฤกษ์แต่ละดวงนั้นมีสีไม่เหมือนกันแต่เดิมนั้น มีการจำแนกสีดาวฤกษ์ออกเป็น 4 ประเภท คือ แดง ส้ม เหลือง และขาว แต่ละสีแทน อุณหภูมิของดาวฤกษ์ สีขาวแทนดาวฤกษ์ที่ร้อนจัดที่สุด ส่วนสีแดงแทนดาวฤกษ์ที่ร้อนน้อยที่สุด การให้สีอย่างนี้ก็คล้ายกับสีของชิ้นเหล็กที่กำลังถูกไฟเผา ในตอนแรกมันจะร้อนแดงก่อน ต่อมาเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นสีของมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นสีขาวแกมน้ำเงินในที่สุด แต่นักดาราศาสตร์ปัจจุบันได้จำแนกสีของดาวฤกษ์ตามอุณหภูมิของมันเป็น 7 ประเภทใหญ่ๆ

อันดับความ สว่างของดาว ฤกษ์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. อันดับความสว่างปรากฏ เป็นอันดับความสว่างของดาวฤกษ์ที่สังเกตได้จากโลกที่มองเห็นด้วย ตาเปล่า แต่ไม่สามารถเปรียบเทียบความสว่างจริงของดาวแต่ละดวงได้ เนื่องจากระยะทางระหว่างโลกและดวงดาวมีผลต่อการมองเห็นความสว่าง ดาวที่มีความสว่างเท่ากันแต่อยู่ห่างจากโลกต่างกัน คนบนโลกจะมองเห็น ดาวที่อยู่ใกล้สว่างกว่าดาวที่อยู่ไกล
2. อันดับความสว่างที่แท้จริง เป็นความสว่างจริงของดวงดาว การบอกอันดับความสว่างที่แท้จริงของดวงดาวจึงเป็นค่าความสว่างปรากฏของดาวใน ตำแหน่งที่ดาวดวงนั้นอยู่ห่างจากโลกเท่ากัน คือ กำหนดระยะทาง เป็น 10 พาร์เซก หรือ 32.61 ปีแสง เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความสว่างจริงของดาวได้
อันดับความสว่างปรากฏและอันดับความสว่างแท้จริงมีค่าไม่เท่ากัน เช่น ดาวพรอกซิมาเซนเทารีในกลุ่มดาวเซนทอร์มีอันดับความสว่างปรากฏเป็น 10.7 แต่มีอันดับความสว่างแท้จริงเป็น 14.9 เป็นต้น
ที่มา http://www.anek2009.ob.tc/earth_astro/eart12.htm1. อันดับความสว่างปรากฏ เป็นอันดับความสว่างของดาวฤกษ์ที่สังเกตได้จากโลกที่มองเห็นด้วย ตาเปล่า แต่ไม่สามารถเปรียบเทียบความสว่างจริงของดาวแต่ละดวงได้ เนื่องจากระยะทางระหว่างโลกและดวงดาวมีผลต่อการมองเห็นความสว่าง ดาวที่มีความสว่างเท่ากันแต่อยู่ห่างจากโลกต่างกัน คนบนโลกจะมองเห็น ดาวที่อยู่ใกล้สว่างกว่าดาวที่อยู่ไกล
2. อันดับความสว่างที่แท้จริง เป็นความสว่างจริงของดวงดาว การบอกอันดับความสว่างที่แท้จริงของดวงดาวจึงเป็นค่าความสว่างปรากฏของดาวใน ตำแหน่งที่ดาวดวงนั้นอยู่ห่างจากโลกเท่ากัน คือ กำหนดระยะทาง เป็น 10 พาร์เซก หรือ 32.61 ปีแสง เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความสว่างจริงของดาวได้
อันดับความสว่างปรากฏและอันดับความสว่างแท้จริงมีค่าไม่เท่ากัน เช่น ดาวพรอกซิมาเซนเทารีในกลุ่มดาวเซนทอร์มีอันดับความสว่างปรากฏเป็น 10.7 แต่มีอันดับความสว่างแท้จริงเป็น 14.9 เป็นต้น
ตอบ 2.
ดวงจันทร์
ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
ข้อมูลที่น่า สนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์
เส้นผ่าศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร
มวล 0.012 เท่าของโลก
ความหนาแน่น 3.3 เท่าของน้ำ
ระยะห่างจากโลกโดยเฉลี่ย 384,400 กิโลเมตร
ระยะที่อยู่ใกล้ที่สุด 365,400 กิโลเมตร
ระยะห่างมากที่สุด 406,700 กิโลเมตร
เวลาหมุนรอบตัวเอง 27.32 วัน (นับแบบดาราคติ)
เวลาหมุนรอบโลก 29.53 วัน (นับแบบจันทรคติ)
เอียงทำมุมกับเส้นอีคลิปติค 5 องศา
เอียงทำมุมกับแกนตัวเอง 6 1/2 องศา
ที่มา http://web1.dara.ac.th/daraastro/data/SolarSystem/earth/moon.htmเส้นผ่าศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร
มวล 0.012 เท่าของโลก
ความหนาแน่น 3.3 เท่าของน้ำ
ระยะห่างจากโลกโดยเฉลี่ย 384,400 กิโลเมตร
ระยะที่อยู่ใกล้ที่สุด 365,400 กิโลเมตร
ระยะห่างมากที่สุด 406,700 กิโลเมตร
เวลาหมุนรอบตัวเอง 27.32 วัน (นับแบบดาราคติ)
เวลาหมุนรอบโลก 29.53 วัน (นับแบบจันทรคติ)
เอียงทำมุมกับเส้นอีคลิปติค 5 องศา
เอียงทำมุมกับแกนตัวเอง 6 1/2 องศา

เรื่องเล่าจาก " ดาวลูกไก่ "
![]() | ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากเชิงเขา ตากับยายปลูกกระท่อมอาศัยอยู่กันตามลำพัง มีอาชีพเก็บผักและของป่าไปขายพอเลี้ยงชีพได้ ตากับยายเลี้ยงไก่ไว้ตัวหนึ่ง ต่อมาแม่ไก่ออกไข่และฟักออกมาเป็นลุกน้อยๆ น่ารักถึงเจ็ดตัว ทุกเช้าแม่ไก่จะร้องกุ๊กๆ เรียกลูกออกไปหากิน สอนให้คุ้ยเขี่ยอาหารและแมลงเล็กๆ ตามพื้นดิน บางวันยายก็จะโปรยข้าวสุกเหลือๆ จากก้นหม้อให้กินด้วย แม่ไก่กับลูกๆทั้งเจ็ดมีความสุขมาก และรู้สึกกตัญญูต่อตายายที่เลี้ยงดูพวกตนอย่างเมตตา ส่วนตากับยายนั้นก็เฝ้าดูแม่ไก่และลูกเจี๊ยบน้อยที่คลอเคลียตามแม่ไม่ยอม ห่างด้วยความเอ็นดู |
ยายตั้งชื่อลูกเจี๊ยบตัวเล็กที่สุดว่า เจ้า "จิ๋ว" "ดูเจ้าจิ๋วสิตา ท่าทางมันขี้อ้อนแม่มันน่าดู" ยายพูด วันหนึ่งขณะที่แม่ไก่พาลูกๆ คุ้ยเขี่ยหากินอยู่ที่ลานดินหน้ากระท่อม แม่ไก่รู้สึกมีเงาดำทะมึนแผ่กว้างอยู่บนฟ้า แม่ไก่ตกใจรีบส่งเสียงเรียกลูกมาใกล้ๆ แต่ลูกๆ ก็ไม่ได้ยิน แม่ไก่แหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นเหยี่ยวตัวใหญ่กำลังถลาร่อนลงมาจะโฉบเอาเจ้า จิ๋วลูกรัก "โอ..แย่แล้ว...กุ๊กๆๆ เจ้าจิ๋วลูกรักวิ่งหนีไปเร็ๆ ลูกๆ วิ่งเร็วๆ" แม่วิ่งผวาไปหาลูก แล้วกางปีกป้องกันลูกรัก เรียกลูกมาซุกใต้ปีกของตัวแล้วพาวิ่งไปหมอบที่กอไผ่อย่างรวดเร็ว ตากับยายได้ยินเสียงลูกไก่ร้องจึงรีบวิ่งออกมาช่วยไล่เหยี่ยวบินหนีไป แม่ไก่และลูกๆ จึงปลอดภัยและยิ่งรักตากับยายมากขึ้น | ![]() |
![]() | เย็นวันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ริมเชิงเขา ตากับยายจึงเข้าไปนมัสการ และตั้งใจว่าจะทำอาหารไปถวายพรุ่งนี้ แต่เมื่อค้นดูเสบียงอาหาร ในครัวก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ตากับยายสงสารพระมากเกรงว่าจะอดอาหาร เพราะในละแวกนี้มีบ้านของตนเพียงหลังเดียว จึงปรึกษากันว่าอาจจะต้องฆ่าแม่ไก่แล้วทำอาหารถวายพระ ทั้งตาและยายรู้สึกเศร้าใจมากด้วยความรักและสงสารแม่ไก่และลูกเจี๊ยบ ต้องกลายเป็นลูกไก่กำพร้า บังเอิญแม่ไก่แอบได้ยินตากับยายปรึกษากัน จึงตัดสินใจยอมสละชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณของตากับยาย แม่ไก่เรียกลูกๆ มาเล่าเรื่องให้ฟัง และสั่งสอนให้รักกันอย่าทะเลาะกัน เจ้าจิ๋วลูกสุดท้องอย่ากวนใจพี่มากนัก อย่าขี้อ้อนงอแง "จำไว้นะลูกๆ ต้องรักกัน สามัคคีกัน อย่าทำให้ตากับยายร้อนใจ |
"ฮือๆ หนูจะอยู่กับแม่ หนูคิดถึงแม่ แม่อย่าทิ้งลูกๆไปนะจ๊ะ" ลูกไก่ร้องไห้รำพันอย่างน่าสงสาร ทุกตัวต่างกอดซุกอยู่กับอกแม่เป็นครั้งสุดท้าย เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เมื่อตากับยายก่อไฟเตรียมประกอบอาหาร ทันใดนั้นตากับยายก็ต้องตกตะลึงจนร้องไม่ออก เมื่อเห็นลูกไก่ทั้งเจ็ดตัววิ่งตามกันกระโดดเข้ากองไฟด้วยความรักแม่ไก่ | ![]() |
![]() | เทวดานางฟ้าผู้พิทักษ์ความดี ต่างก็ซาบซึ้งในความกตัญญูของแม่ไก่และลูกไก่ จึงรับเอาลูกไก่ทั้งเจ็ดไปอยู่บนฟากฟ้ามีแสงระยิบระยับเป็นประกาย ประกาศถึงความดีที่มีความรักความสามัคคีของพี่น้องทั้งเจ็ดนั่นเอง เด็กๆ มักได้ฟังนิทานเรื่อง " ดาวลูกไก่" อยู่เสมอเมื่อมองฟากฟ้ายามปราศจากเมฆฝน ก็จะเห็นดาวลูกไก่ดวงเล็กๆ ที่อยู่กันเป็นกลุ่มส่องแสงระยิบระยับน่าเอ็นดู และมีความเชื่อว่าลูกไก่สละชีวิตตามแม่ไก่ไป |
ในความเป็นนิทานนั้นผู้เล่ามุ่งหวังจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของแม่ ที่มีต่อลูก ความเมตตาของมนุษย์ที่มีต่อสัตว์เลี้ยง และความกตัญญูรู้คุณ อีกทั้งความตั้งใจทำหน้าที่ตามบทบาทของตนให้ดีที่สุด ดังนั้นขอให้น้องๆ เรียนรู้แบบอย่างที่ดีจากนิทานเรื่องนี้ เมื่อใดที่แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แลเห็นกลุ่มดาวลูกไก่ ก็ขอให้นึกถึงความสามัคคี ความรัก ความกตัญญู ที่จะส่องประกายระยิบระยับอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป... | |
ที่มา http://www.rspg.org/fabel/doc3.htm
ตอบ 1
เอ็ดวิน ฮับเบิล เริ่มศึกษาเกี่ยวกับเนบิวลา ที่เขาคุ้นเคย ( Nebula - เนบิวลาแปลว่าหมอกหรือเมฆในภาษาละติน เป็นลักษณะของฝ้าจางๆ บนท้องฟ้ายามราตรี )
บนเขาวิลสัน ฮับเบิลได้พบกับ ฮาร์โลว์ แชปลีย์ (Harlow Shapley) ผู้ซึ่งกำลังภูมิใจ กับความสำเร็จ ในการวัดขนาดของ กาแล็กซีทางช้างเผือก และตำแหน่งของระบบสุริยะของเรา โดยใช้ดาวแปรแสงประเภทซีฟีอิด (Cepheid Variable อ่านรายละเอียดได้ใน เรื่องกาแล็กซี แอนโดรมีดา) สำหรับฮาร์โลว์ แชปลีย์ เนบิวลาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ากลุ่มก๊าซที่อยู่ไม่ไกล ในทางช้างเผือกของเรา
ที่มา http://www.angelfire.com/zine/bpitk/cosmos/hubble.html
ตอบ 3.
เพราะว่าซูเปอร์โนวาเกิดขึ้นน้อยในดาราจักรของเรา เกิดทุกๆ ห้าสิบปี การได้มาซึ่งตัวอย่างของการเกิดซูเปอร์โนวา ต้องศึกษามาจากการสังเกตหลายๆ ดาราจักร
แต่ซูเปอร์โนวาในดาราจักรอื่นๆ ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำนัก แสงหรือการส่องสว่างจากการระเบิดของซูเปอร์โนวาทำให้นักดาราศาสตร์ใช้ ซูเปอร์โนวาเป็นเทียนมาตรฐาน เพื่อวัดใช้ระยะทางจากโลกถึงดาราจักรที่มีซูเปอร์โนวาปรากฏอยู่ นอกจากนี้นักเอกภพวิทยาซึ่งศึกษาซูเปอร์โนวาประเภทนี้ยังบอกได้ว่าเอกภพของ เรากำลังขยายตัวด้วยความเร่ง และยังมีความสำคัญมากในการค้นหามันก่อนที่มันจะเกิดการระเบิด นักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นที่มีจำนวนมากกว่านักดาราศาสตร์มืออาชีพ มีบทบาทอย่างมากในการค้นพบซูเปอร์โนวา โดยทั่วไปจากการมองไปยังดาราจักรใกล้ๆ ผ่านกล้องโทรทรรศน์แสง และเปรียบเทียบมันกับรูปที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้า
จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ นักดาราศาสตร์หันมาใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมกล้องโทรทรรศน์และซีซีดี ในการตามล่าค้นหาซูเปอร์โนวา เมื่อสิ่งนี้เป็นที่นิยมสำหรับนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่น จึงมีการติดตั้งเครื่องมืออย่าง Katzman Automatic Imaging Telescope (เป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ถ่ายภาพได้) เป็นต้น เร็วๆ นี้ โปรเจกต์ที่ชื่อว่า Supernova Early Warning System (SNEWS) เริ่มมีการใช้การตรวจจับนิวตริโนเป็นตัวช่วยในการค้นหาซูเปอร์โนวาในดารา จักรทางช้างเผือก เพราะนิวตริโนเป็นอนุภาคที่ถูกผลิตขึ้นจากการระเบิดของซูเปอร์โนวา และไม่ถูกดูดกลืนโดยแก๊สและฝุ่นละอองต่างๆ ในระหว่างดวงดาวในดาราจักรนั้น
การค้นหาซูเปอร์โนวาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยจะให้ความสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งใกล้ๆกัน กับการมองหาการระเบิดที่ไกลออกไป เพราะการระเบิดของจักรวาล ทำให้วัตถุต่างๆ ในจักรวาลเคลื่อนห่างออกจากกัน การถ่ายภาพสเปกตรัมของดาราจักรหลายสิบดวงจะพบว่า แสงจากดาราจักรเกือบทุกดาราจักรมีลักษณะการเลื่อนทางแดง นั่นคือวัตถุที่อยู่ไกลออกไปมากจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าวัตถุที่ อยู่ใกล้กว่าและเรียกได้ว่ามีการเลื่อนไปทางแดงสูงก ว่า (higher redshift)
การค้นหาการเลื่อนแดงสูงจะช่วยในการจับสังเกตซูเปอร์โนวา และสามารถคำนวณหาระยะห่างและความเร็วเคลื่อนออกของซูเปอร์โนวานั้นได้ด้วย โดยการสังเกตว่าการเลื่อนแดงเลื่อนไปมากน้อยเพียงใด ความสัมพันธ์นี้อยู่ในกฎ ของฮับเบิล
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2
ตอบ 1.
ดาวเทียมธีออส (THEOS : Thailand Earth Observation Satellite) เป็นดาว เทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ไทย
โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินงานโดย สำนัก งานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ. หรือ GISTDA) กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ บริษัท อี เอ ดี เอส แอสเตรียม (EADS Astrium) ประเทศ ฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณ 6,000 ล้านบาท นับเป็นดาวเทียมสำรวจ ทรัพยากรดวงแรกของไทยและเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA
เพราะว่าซูเปอร์โนวาเกิดขึ้นน้อยในดาราจักรของเรา เกิดทุกๆ ห้าสิบปี การได้มาซึ่งตัวอย่างของการเกิดซูเปอร์โนวา ต้องศึกษามาจากการสังเกตหลายๆ ดาราจักร
แต่ซูเปอร์โนวาในดาราจักรอื่นๆ ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำนัก แสงหรือการส่องสว่างจากการระเบิดของซูเปอร์โนวาทำให้นักดาราศาสตร์ใช้ ซูเปอร์โนวาเป็นเทียนมาตรฐาน เพื่อวัดใช้ระยะทางจากโลกถึงดาราจักรที่มีซูเปอร์โนวาปรากฏอยู่ นอกจากนี้นักเอกภพวิทยาซึ่งศึกษาซูเปอร์โนวาประเภทนี้ยังบอกได้ว่าเอกภพของ เรากำลังขยายตัวด้วยความเร่ง และยังมีความสำคัญมากในการค้นหามันก่อนที่มันจะเกิดการระเบิด นักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นที่มีจำนวนมากกว่านักดาราศาสตร์มืออาชีพ มีบทบาทอย่างมากในการค้นพบซูเปอร์โนวา โดยทั่วไปจากการมองไปยังดาราจักรใกล้ๆ ผ่านกล้องโทรทรรศน์แสง และเปรียบเทียบมันกับรูปที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้า
จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ นักดาราศาสตร์หันมาใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมกล้องโทรทรรศน์และซีซีดี ในการตามล่าค้นหาซูเปอร์โนวา เมื่อสิ่งนี้เป็นที่นิยมสำหรับนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่น จึงมีการติดตั้งเครื่องมืออย่าง Katzman Automatic Imaging Telescope (เป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ถ่ายภาพได้) เป็นต้น เร็วๆ นี้ โปรเจกต์ที่ชื่อว่า Supernova Early Warning System (SNEWS) เริ่มมีการใช้การตรวจจับนิวตริโนเป็นตัวช่วยในการค้นหาซูเปอร์โนวาในดารา จักรทางช้างเผือก เพราะนิวตริโนเป็นอนุภาคที่ถูกผลิตขึ้นจากการระเบิดของซูเปอร์โนวา และไม่ถูกดูดกลืนโดยแก๊สและฝุ่นละอองต่างๆ ในระหว่างดวงดาวในดาราจักรนั้น
การค้นหาซูเปอร์โนวาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยจะให้ความสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งใกล้ๆกัน กับการมองหาการระเบิดที่ไกลออกไป เพราะการระเบิดของจักรวาล ทำให้วัตถุต่างๆ ในจักรวาลเคลื่อนห่างออกจากกัน การถ่ายภาพสเปกตรัมของดาราจักรหลายสิบดวงจะพบว่า แสงจากดาราจักรเกือบทุกดาราจักรมีลักษณะการเลื่อนทางแดง นั่นคือวัตถุที่อยู่ไกลออกไปมากจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าวัตถุที่ อยู่ใกล้กว่าและเรียกได้ว่ามีการเลื่อนไปทางแดงสูงก ว่า (higher redshift)
การค้นหาการเลื่อนแดงสูงจะช่วยในการจับสังเกตซูเปอร์โนวา และสามารถคำนวณหาระยะห่างและความเร็วเคลื่อนออกของซูเปอร์โนวานั้นได้ด้วย โดยการสังเกตว่าการเลื่อนแดงเลื่อนไปมากน้อยเพียงใด ความสัมพันธ์นี้อยู่ในกฎ ของฮับเบิล
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2
ตอบ 1.
ดาวเทียมธีออส (THEOS : Thailand Earth Observation Satellite) เป็นดาว เทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ไทย
โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินงานโดย สำนัก งานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ. หรือ GISTDA) กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ บริษัท อี เอ ดี เอส แอสเตรียม (EADS Astrium) ประเทศ ฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณ 6,000 ล้านบาท นับเป็นดาวเทียมสำรวจ ทรัพยากรดวงแรกของไทยและเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA
ตอบข้อ 2 เพราะ ดาวเที่ยมใช้สำรวจเกี่ยวกับพิกัดตำแหน่งต่างๆ และภัยธรรมชาติต่างๆ
















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น